top of page

Jihad (ญิฮาด)

ความหมายที่แท้จริงของการญิฮาด

ภาษาอาหรับคำว่า "ญิฮาด" มักจะแปลว่า "สงครามศักดิ์สิทธิ์" แต่ในความหมายทางภาษาอย่างหมดจดคำว่า "ญิฮาด" หมายถึงการต่อสู้หรือมุ่งมั่น ส่วนคำภาษาอาหรับสำหรับคำว่าสงครามศักดิ์สิทธิ์คือ ""al-harb al muqadis " ในความหมายทางศาสนา "ญิฮาด" มีความหมายที่มากมายตามที่อธิบายจากคัมภีร์อัลกุรอานและคำสอนของศาสดามูฮัมหมัด (S.A.W) มันสามารถอ้างถึงภายในเช่นเดียวกับความพยายามภายนอกจะเป็นมุสลิมที่ดีหรือศรัทธาเช่นเดียวกับการกระทำที่จะเผยแพร่ให้ผู้คนได้รู้เกี่ยวกับความเชื่อของศาสนาอิสลาม

ในสถานการณ์วิกฤต, หากมีความจำเป็นที่จะต้องปกป้องความศรัทธาต่อบุคคลอื่นบุคคลใด ก็สามารถกระทำได้โดยใช้สิ่งต่างๆที่ระบุไว้ในกฎหมาย, การทูตและเศรษฐศาสตร์เพื่อผลทางการเมืองเป็นลำดับแรก หากไม่มีทางเลือกโดยสันติวิธี, ศาสนาอิสลามอนุญาตให้การใช้กำลังได้ แต่อย่างไรก็ตามต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เข้มงวดของการสู้รบ ผู้บริสุทธิ์ที่เป็นพลเรือนเช่นผู้หญิงเด็กหรือคนพิการจะต้องไม่ได้รับอันตราย และก จากศัตรูจะต้องได้รับการเรียกร้องสันติภาพจากศรัตรูต้องได้รับการยอมรับ อัลเลาะห์ (S.W.T) กล่าวว่าใน Surah Al Baqara (ข้อ 190):

وَقَاتِلُوا فِي سَبِيلِ اللَّهِ الَّذِينَ يُقَاتِلُونَكُمْ وَلَا تَعْتَدُوا ۚ إِنَّ اللَّهَ لَا يُحِبُّ الْمُعْتَدِينَ

ความหมาย: การต่อสู้ตามแนวทางของอัลเลาะห์ต่อผู้ที่ต่อสู้กับคุณ แต่ต้องไม่กระทำการใดๆที่ถือป็นการก้าวล่วง โดยแท้จริงอัลเลาะห์ไม่ชอบบุคคลผู้ใดที่กระทำการล่วงละเมิด

Al Wara' Wal Bara' (อัลวาลาบารา)

คำว่า วาลา(Wala) มาจากภาษาอารบิก โดยระบุที่มาจากพจนานุกรมภาษาอาหรับ Ibn Faris ว่าหมายถึงความรัก,ความภักดี, และความจงรักภักดีต่อผู้ปกครองหรือผู้เป็นเจ้าของ

คำว่า บารา(Bara) 'หมายถึง' ความเป็นอิสระจากสรรพสิ่ง' นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วยความหมายที่แตกต่างกัน เช่น การชดเชย,การสร้าง,เสรีภาพ, ชัยชนะ และความหมายพื้นฐานโดยทั่วๆไปก็คือความสัมพันธ์ที่จริงจังกับบางสิ่งบางอย่างหรือใครบางคน

ในบริบทของสาสนาอิสลาม คำว่า อัลวาลาบารา (Al-Wala 'Wal-Bara) หมายถึงความเชื่อของชาวมุสลิม, การกระทำและคำพูดที่เป็นที่แสดงความศรัทธาต่อพระเจ้า และการละเว้นจากการกระทำใดๆก็ตามที่เป็นการต่อต้านและไม่พอใจพระเจ้า; เป็นที่ทราบกันว่าเป็นการไม่ยอมรับเพื่อประโยชน์ของพระเจ้า(disavowal)

لَّا يَنْهَاكُمُ اللَّهُ عَنِ الَّذِينَ لَمْ يُقَاتِلُوكُمْ فِي الدِّينِ وَلَمْ يُخْرِجُوكُم مِّن دِيَارِكُمْ أَن تَبَرُّوهُمْ وَتُقْسِطُوا إِلَيْهِمْ ۚ إِنَّ اللَّهَ يُحِبُّ

อัลลอฮ์มิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนา และพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า ในการที่พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักผู้มีความยุติธรรม (Surah Mumtahina verse 8)

Takfir 

takfir: ใช้เรียกชาวมุสลิมเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา

แนวทางของ อะลิ สุนนะวัลญามาอะฮ์ (Ahli Sunnah Wal Jamaah) ซึ่งหมายถึงกลุ่มผู้ศรัทธาที่เจริญรอยตามแนวทางของท่านศาสดานบีมุฮัมหมัด) จะไม่ตัดสินมุสลิมคนใดที่กระทำการปฏิเสธศรัทธาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาการ ยกเว้นหลังจากในกรณีที่องค์กรที่มีหน้าที่ในการพิสูจน์เป็นผู้ใช้ดุลพินิจน์ในการตัดสินตามที่เห็นสมควร

จะถือว่าเป็นชาวมุสลิมเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาในกรณีดังต่อไปนี้เท่านั้น

  1. เขา / เธอปฏิเสธการดำรงอยู่ของอัลเลาะห์, หรือ

  2. เขา / เธอปฏิเสธท่านศาสดานบีมุฮัมหมัด- ข้อความของท่านและตัวท่านในฐานะที่เป็นผู้ส่งสารคนสุดท้าย

ไอซิส(ISIS) ได้ทำการเผยแพร่หลักคำสอนโดยระบุว่า takfir ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติของการประกาศของมุสลิมเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาหรือศาสนา แต่อย่างไรก็ดี ISIS ไม่ได้เป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการตัดสินว่าผู้ใดคือTakfir หรือเหตุผลในการกำหนดว่าผู้นั้นเป็นมุสลิมผู้ปฏิเสธศรัทธา(Takfir)ไม่ถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ในคัมภีร์กุรอ่าน โดยตามที่คัมภีร์กุรอ่านระบุว่าผู้ที่ถือว่าเป็นมุสลิมนอกศาสนาคือเมื่อเขา / เธอปฏิเสธการดำรงอยู่ของอัลลอและศาสดานบีมูฮัมหมัด


أَيما رجُل قال لِأَخِيْهِ : يَا كَافِرُ, فَقَدْ بَاءَ بِهَا أَحَدُهُمَا , فَإِنْ كَانَ كَمَا قَالَ وَ إِلاَّ رَجَعَتْ عَلَيْهِ

ความหมาย: หากบุคคลใดกล่าวหาพี่ชายของเขา (ในศาสนาอิสลาม) ว่าเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา, หนึ่งในบุคคลเหล่านั้นแน่นอนว่าสมควรได้รับการยกย่อง หากได้รับการพิสูจน์แบะยืนยันแล้วว่าเป็นไปตามที่เขาได้กล่าวหานั้น แต่ถ้าหากมันไม่เป็นความจริงแล้ว, เมื่อนั้นมันจะย้อนกลับไปให้เขา


مَنْ دَعَا رَجُلاً بِالْكُفْرِ , أَوْ قَالَ : عَدُوَّ اللهِ, وَ لَيْسَ كَذَلِكَ إِلاَّ حَارَ عَلَيْهِ

ความหมาย: ถ้าใครกล่าวหาผู้อื่นว่าเป็นผู้ปราศจากศรัทธาหรือเรียกเขาว่าเป็นศัตรูของอัลเลาะห์ฉันใด ข้อกล่าวหานั้นจะย้อนกลับไปหาเขา (ผู้กล่าวหา) หากผู้ถูกกล่าวหานั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ฉันนั้น

Caliphate

Caliphate ตำแหน่งพระเจ้ากาหลิบผู้ครองนคร

เป็นเวลาเกือบ 13 ศตวรรษ, นับจากการสวรรคตของพระศาสดามูฮัมหมัดในปี 632 เพื่อโค่นล้มพระเจ้ากาหลิบออตโตมันองค์สุดท้ายในปี 1924, โลกอิสลามถูกปกครองโดยกาหลิบ 'คาลิฟา', คำว่า 'กาหลิบ' หมายถึงทายาทหรือรองประธาน กาหลิบได้รับการพิจารณาผู้สืบทอดแด่ศาสดามูฮัมหมัด

จากความคิดเห็นของนักวิชาการอิสลามทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการจัดตั้งเพื่อจะนำไปสู่จุดที่มีความสำคัญอันหนึ่งนั้น ก็คือการจัดั้งองค์กรที่มีหน้าที่อำนาจ โดยองค์กรที่มีอำนาหน้าที่นี้จะสามารถจัดตั้งขึ้นได้ในสองวิธีดังต่อไปนี้

1- วิธีที่ไม่ถูกต้องในกรณีที่มีใครสักคนตั้งตนเป็นผู้นำโดยการบังคับและไม่มีการปรึกษาหารือกับผู้ที่มีอำนาจและผู้มีความรู้ภายในอุมมะฮ์ Ummah (ประชาคมโลกของชนมุสลิม).

2- วิธีการที่ถูกต้อง, ดังที่กล่าวถึงในกฎหมายชะรีอะฮ์ (Sharia หรือ Shari'ah) คือประมวลข้อปฏิบัติต่าง ๆ ของกฎหมายศาสนาของศาสนาอิสลาม ในกรณีเมื่ออิสระและการถูกจำกัดอำนาจอยู่ในเวลาเดียวกัน(Ahl Hal Wal Aqd), หรือผู้ที่มีอำนาจและความรู้ภายในประชาคมโลกมุสลิม(Ummah) ให้สัตย์ปฏิญาณ(‘bai’ah)  กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง

ในกรณีของรัฐอิสลามหรือไอซิส(Isis), ไม่มีบุคคลใดขององค์กรที่มีอำนาจและผู้ที่มีความรู้ในประชาคมโลกมุสลิม ได้ให้สัตย์ปฏิญาณ (Bai'ah) ต่ออาบูบาการ์อัลแบกห์ดา ดังนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ที่ข้ออ้างตามที่เรียกร้องของพวกเขาสามารถถูกต้องมีผลตามกฏหมายอิสลาม

bottom of page